วันเสาร์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ปัญหาจิปาถะ..ของ Bigbike



ปัญหายอดฮิตของรถใหญ่..มือ2

วาล์วยัน.....
วาล์วคืออะไร? ทำไมถึงเป็น?
วาล์ว ยันคือ การที่กลไก เปิด-ปิด ไอดี-ไอเสียในห้องเผาไหม้ปิดไม่สนิท ทำให้กำลังอัดรั่ว /กำลังอัดในกระบอกสูบลดต่ำลงกว่ามาตราฐาน ทำให้การลุกไหม้ของไอดีมีน้อยลง สาเหตุดังกล่าว ทำให้รถไม่มีกำลัง หรือกำลังลดลง ทำให้วิ่งไม่ครบสูบ ที่มักจะเห็นบ่อยๆคือ การสตาร์ทในช่วงเช้าๆติดยาก โดยเฉพาะตอนเครื่องยนต์เย็น รอบเดินเบาไม่นิ่งและกินน้ำมันมากขึ้น และที่สำคัญคือทำให้เครื่องยนต์ร้อนเร็วกว่าเคย เพราะต้องใช้รอบเครื่องยนต์มากขึ้นเพื่อให้ได้กำลังและความเร็วเท่าเดิม
สาเหตุ??
ที่วาว์ลปิดไม่สนิทมี2กรณี
1. หน้าวาล์ว ( ส่วนที่เป็นมุมลาดเอียงบนตัววาล์ว )
2. บ่าวาล์ว ( ส่วนรองรับหน้าวาล์วบนฝาสูบ )
ส่วน ประกอบทั้ง2ต้องกระทบกันตลอดเวลาที่เครื่องยนต์ทำงาน จังหวะ เปิดสุดและปิดสุด และวาล์วจะเด้งคืนที่เดิมด้วยแรงของสปริงกดวาล์ว โดยปรกติแล้วระยะของการกระแทกนี้จะมีส่วนสำพันธ์กับ ระยะห่างวาล์ว( ระยะที่ตีนวาล์วคืนตัวสุด ห่างจากชุดลูกเบี้ยวกดวาว์ล ) การออกแบบจากบริษัทผู้ผลิตจะใช้ค่าระยะห่างวาล์วที่เหมาะสม นั้นคือให้มีเพียงพอที่วาล์วจะคืนตัว ปิดสนิทแต่ทั้งนี้จะต้องไม่มากจนเกินไป เพราะไม่งั้น หน้าวาล์วจะกระแทกบ่าวาล์วแรงๆจนมีอาการทรุดตัวเร็ว ( ระยะห่างวาล์วจะไม่ใช่ค่าที่ตายตัว คงที่ แต่จะเป็นช่วงระยะที่โรงานผู้ผลิตยอมรับว่าเป็นช่วงที่ปรกติ
วาล์วยัน / วาล์วทรุดเร็ว...
โดย มากมักจะเกิดที่วาล์วไอดี ( โดยปรกติ ทั่วๆไป วาล์วไอดีจะมีขนาดใหญ่มากกว่าวาล์วไอเสีย ) การสึกหรอและทรุดตัวมีมากกว่า เพราะความร้อนเปลี่ยนแปลงไปมา จากปรติไปร้อนมากๆ สลับกันไปมา โลหะขยายตัวและหดตัวตลอดเวลา และในจังหวะ"กำลัง" วาล์วไอดีจะถูกแรงดันบวกเพิ่มไปอีก ส่วนวาล์วไอเสียค่าของอุณหภูมิจะคงที่กว่า
สาเหตุจากปัจจัยอื่นๆเช่น
- ปรับจูนไอดีบางเกินไป จนวาล์วและบ่าวาล์วแห้ง จะทำให้มีความร้อนสูงมากจนเกินไป นอกจากจะทำให้วาล์วยีนไวแล้ว ยังจะก่อให้เกิด อาการวาล์วและปลอดวาล์วไหม้
- น้ำมันเชื้อเพลิงไม่สะอาด
- เปลือยกรองอากาศ ในอากาศมีอนูโลหะแข็งเจือปนอยู่ อนูเล็กๆเหล่าวนี้จะกัดกร่อนหน้าวาล์วและบ่าวาล์ว บางทีก้อาจจะทำให้วาล์วรั่วไปเลย
วิธีดูแล / แก้ไข
การ ตั้งวาล์วให้ห่างไว้ก่อนไม่ใช่วิธีการแก้ปัญหาที่ถูกต้อง การตั้งวาล์วให้อยู่ในระยะห่างมาตราฐานตามสเปกโรงงานจะดีที่สุด เหตุที่ว่าทำไมตั้งห่างแล้วยังไม่ดีเพราะ การตั้งวาล์วให้ห่างกว่าค่ามาตราฐาน กลับจะทำให้วาล์วจมเร็วมากขึ้นอีก เพราะเท่ากับว่าเราไปเพิ่มระยะทางให้หน้าวาล์วและบ่าวาล์วกระแทกกันแรงและ เร็วกว่าเดิม ยกตัวอย่าง เช่นเคยตั้งวาล์วไว้ห่างกว่าปรกติในครั้งแรก ระยะการตั้งวาล์วในครั้งต่อๆมาจะสั้นลงเรื่อยๆ ( ปรกติประมาณ10,000 กิโลเมตร แต่พอตั้งให้ห่าง กลับกลายเป็นว่าไม่ถึง10,000กม.แล้ว กลายเป็นว่าต้องตั้งที่7,000-8,000 กม.แทน

การตั้งวาล์วด้วยวิธีไหนดีกว่าระหว่างการฝนชิม หรือว่า เปลี่ยนชิม
1. ฝนชิมวาล์ว วิธีการคือ เปลี่ยนความหนาของชิมวาล์ว โดยทำให้บางลง วิธีนี้ร้านทั่วๆไปมักจะทำกันแต่มีผลเสียคือ
- ผิวหน้า-หลังของชิมไม่เรียบ และโอกาศที่จะวัดความหนาผิดพลาดมีสูง
- ผิวโลหะด้านนอกของชิม ผ่านการชุบแข็งมา แต่เมื่อถูกฝนออกให้บางลง( ส่วนที่แข็งโดนฝนออกไป ) เมื่อใช้งานไปได้ระยะนึง จะสึกหรอเร็ว และการฝนหน้าสำพัสของชิมที่ไม่เรียบจะทำให้แรงกดบนตัวชิมไม่เท่ากัน แผ่นชิมมีการกระดกตัว
แนะนำว่า..ควรเลือวิธีตั้งวาล์วด้วยการเปลี่ยนชิม จะดีกว่า หรือถ้าเลือกประหยัดเงิน ก็ให้ช่างตั้งระยะห่างของวาล์วไว้ในช่วงมาตราฐานโรงงานจะดีที่สุด

Heat...??
ปัญหาความร้อน...

ต้องบอกก่อนว่า จริงๆแล้วเครื่องยนต์ต้องการค่าความร้อนในระดับนึง เพื่อให้ระบบต่างๆในเครื่องยนต์ทำงานได้เต็มที่ ฉะนั้นไม่ใช่ว่าเครื่องเย็นแล้วจะดี อุณหภูมิที่เหมาะสมคือประมาณ60-80c. เมื่อเครื่องยนต์ทำงานไปได้ซักพักนึง ความร้อนสะสมจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เมื่อถึงค่านึงตามที่กำหนดไว้ วาล์วน้ำจะเปิดให้น้ำหมุนเวียน เพื่อระบายความร้อนในระบบ เมื่อรถวิ่งด้วยความเร็ว ก็จะทำให้การระบายความร้อนทำได้ดียิ่งขึ้น ยิ่งเร็วยิ่งดี ฉะนั้นรถหลายๆรุ่นที่นำเข้ามาในบ้านเรา บางรุ่นก้ไม่เหมาะกับการใช้งานเพราะการระบายลมหรือระบายความร้อนทำได้ไม่ดี เช่นรุ่นที่แฟริ่งปิดทึบ จึงน่าจะเหมาะสำหรับเมืองหนาวมากกว่า แต่สำหรับหลายๆรุ่น แม้ว่าแฟริ่งจะค่อนข้างเปิดโล่งพอควรแต่เมื่อมาใช้ในบ้านเรา หรือเมืองใหญ่ๆ วิ่งในความเร็วต่ำ การไหลเวียนของน้ำระบายความร้อนได้ไม่ดี หรือรถจอดเดินเบา( รถติด ) จึงต้องมีพัดลมช่วยระบายความร้อน
กรณีในบ้านเรา จะทำเพิ่มหรือไม่ก็ได้ เพราะในสภาพรถสมบูรณ์ การระบายความร้อนทำได้ดีอยู่แล้ว ให้หมั่นเช็คระดับน้ำหล่อเย็น หรือเปลี่ยนหล่อเย็นบ้างตามระยะที่กำหนดก็น่าจะพอ

ปัญหาที่มักจะเกิด
1. ความร้อนขึ้นสูง / น้ำยาหล่อเย็น โบลว์ ทิ้ง
สาเหตุที่เกิด
1. เติมน้ำยาหล่อเย็นเกินขีดบนUPPER ในหม้อพักน้ำสำรอง
2. ระบบทางเดินน้ำรั่ว อากาศเข้าไปในระบบ / ฝาปิดหม้อน้ำหมดสภาพ , ปะเก็นรั่ว , ท่อยางหลวม
3. พัดลมไม่ทำงาน
การแก้ไข
1. เติมน้ำยา+น้ำแค่พอดีขีดบนเท่านั้น
2. เช็คฝาหม้อน้ำ ถ้าเสื่อมแล้วให้เปลี่ยน (ทนแรงดัน1.1)
3. เช็คท่อทางเดินน้ำทั้งหมด ขันให้แน่นสนิท เช็ครอยตามดหรือรอยรั่วอื่นๆ
4. ถ้าปะเก็นรั่ว ให้ตัดใหม่ และต้องเช็คความสมบูรณ์ของฝาด้วยว่าโก่งรึเปล่าว..
5. ตรวจเช็คสายไฟ ปลั๊ก ข้อต่อสายไฟพัดลม หรือถ้าพัดลมเสียให้เปลี่ยน

ระบบไฟชาร์ต
1. ต้นกำลังกระแสไฟฟ้าจากฟิลคอยล์หรือ มัดข้าวต้ม
2. ตัวคุมแรงดัน หรือที่เรียกว่า แผ่นชาร์ต / เรคกูเลเตอร์
3. แบ็ตเตอรี่ ( แบบน้ำ / แบบแห้ง )
อธิบายเพิ่ม
1. ฟิลคอยล์ ทำหน้าที่ ปั้นกำลังไฟตามรอบเครื่องยนต์ รอบสูงๆวิ่งเร็วๆ กรแสไฟฟ้าที่ได้มีมาก ถ้าวิ่งช้าๆ กระแสไฟฟ้าก็น้อย
2. แผ่นชาร์ต ทำหน้าที่ ควบคุมปริมาตรกระแสไฟฟ้าให้เหมาะสมกับอุปกรณืที่ติดตั้งภายในรถมอไซด์
3. แบ็ตเตอรี่ ทำหน้าที่ กักเก็บกระแสไฟฟ้า จำนวนนึงเพื่อใช้ในการสตาร์ทรถครั้งแรก และกักเก็บกระแสไฟฟ้าไว้จำนวนนึงเพื่อใช้งาน ในกรณีที่วิ่งด้วยความเร็วต่ำ ติดต่อกันนานๆ

อาการไฟชาร์ตเกินคือ??
สาเหตุเกิดจาก " แผ่นชาร์ต " เสีย..
เสีย คุณสมบัติในการควบคุมและปรับแรงดันกระแสไฟฟ้า ไม่ยอมตัดกระแสไฟส่วนที่เกินออกไป
อาการที่เกิดและเห็นได้ชัดเจนคือ แบ็ตเตอรี่จะบวม แผ่นชาร์จะเสื่อมสภาพ เก็บไฟไม่อยู่ อาการไฟไม่พอก็มาจากสาเหตุนี้เช่นกัน
สาเหตุที่ทำให้แผ่นชาร์ตเสีย
1. แผ่นชาร์ตหมดอายุ
2. ตัวต้านทานในแผ่นชาร์ตเสื่อม
3. ลัดวงจรในระบบ เช่น ปลั๊กหลวม ฉนวนหุ้มแตก หรือกรอบยุ่ยจากความร้อนสะสม และจากการที่ปลั๊กหลวมคลอนก็จะทำให้เกิดความร้อน เพราะการอาร์ค/ไฟฟ้ากระโดด ( ร้อนเร็วมาก )
ขอสังเกตุที่ทีให้ทราบว่า เกิดอาการชาร์ตเกิน..??
1. เกิดความร้อนสูงผิดปรกติ
2. แผ่นชาร์ตปริ / แตก
3. แจ็คไหม้หรือละลาย
4. ขี้เกลือจับที่ขั้วแบ็ตเตอรี่มาก โดยเฉพาะขั้ว+
5. น้ำกลั่นแห้งเร็ว
6. แบ็ตเตอรี่บวม
7. ไฟอ่อน
8. ชาร์ตไฟแล้วเก็บไฟไม่อยู่
9. ไฟหน้า สว่างไม่คงที่ วูบวาวตามรอบเครื่องยนต์
10. หลอดไฟและฟิวส์ขาดบ่อย
11. ถ้ามีอุปกรณ์วัด รอบต่ำ กระแสไฟเหลือแค่11-12 แต่รอบสูง 18-20
ถ้ายังไม่แก้ไขและปล่อยทิ้งไว้ จะทำให้กล่องไฟพัง เพราะกล่องต้องการแรงดันกระแสไฟที่สม่ำเสมอในการทำงาน
ระบบ ไฟฟ้าที่ปรกติจะแสดงค่าที่รอบต่ำ(เดินเบา) ประมาณ 13 - 13.5 โวลต์และที่รอบสูงจะอยู่ระหว่าง 14.5 - 14.9 โวลต์( ไม่เกิน15โวลต์ ) เท่ากันทุกรุ่น ทุกยี่ห้อ
การแก้ไข
- ไฟชาร์ตเกิน เปลี่ยนอย่างเดียว
แต่ต้องตรวจเช็คอุปกรณ์อื่นๆด้วยเช่น
- แบ็ตเตอรี่ ให้ชาร์ตไฟให้เต็ม แล้ววัดค่า (ประมาณ 12.7-13.0โวลต์) ทดลองถอดออกจากแท่นชาร์ตทิ้งไว้8-10ชั่วโมง แล้ววัดใหม่ ถ้าได้ต่ำกว่าเดิม - 0.5โวลต์ ก็แสดงว่า เสื่อมแล้วต้องเปลี่ยนใหม่
- ปลั๊กหรือสายไฟจากแผ่นชาร์ต ถ้ามีรอยไหม้ จะมากหรือน้อย ต้องเปลี่ยนใหม่ทันที

อาการไฟชาร์ตไม่พอ..??
ตรง ข้ามกับอาการไฟชาร์ตเกิน เมื่อมีปัญหาระบบไฟอย่างใดอย่างนึงเกิดขึ้น แต่วัดไฟชาร์ตแล้ว ไม่เกิน14.5 หรือ ไม่เกิน15.0 แสดงว่าแผ่นชาร์ตไม่เสีย กรณีนี้ ที่เป็นไปได้คือ
1. แบ็ตเตอรี่เสียหรือหมดอายุ โดยมากจะมีอายุประมาณ 2 ปี
2. ฟิลคอยล์เสีย วัดค่าความต้านทานกระแสไฟทั้ง3เฟส จะไม่เท่ากัน (โดยปรกติจะเท่ากัน เช่น 0.7 - 0.7 - 0.7 แต่ถ้าเสียจะวัดได้ 0.7 - 0.7 - 0.1 เป็นต้น ค่าความต้านทานนี้โดยมากจะระบุในคู่มือ แต่ถ้าไม่มีให้ทดลองวัดจากฟิลคอยล์ตัวใหม่ที่ยังไม่เคยใช้งาน ( รถแต่ละรุ่นจะไม่เท่ากัน )
ถ้าเสียจากสาเหตุแรก ให้เปลี่ยนแบ็ตเตอรี่ใหม่
" "ที่สอง " ฟิลคอยล์ใหม่
การ ตรวจเช็คที่ต้องทำควบคู่กันคือ เช็คสายไฟ คราบเกลือที่ขั่วแบ็ตเตอรี่ ปลั๊กฟิลคอยล์ ปลั๊กแผ่นชาร์ต ปลั๊กที่ออโตเมติคสตาร์ท อย่าให้มีรอยไหม้เด็ดขาด ที่ยกตัวอย่างมานี่ก้เป็นสาเหตุนึงที่อาจทำให้เกิดอาการไฟชาร์ตไม่พอเช่นกัน แม้ว่าแบ็ตเตอรี่จะไม่เสีย, ฟิลคอยล์ไม่เสีย การป้องกันคือ ปลักต้องไม่หลวมคลอน ต้องไม่มีรอยไหม้และต้องทาจารบีเคลือบไว้เสมอๆ

เทคนิคง่ายๆในการบำรุง ดูแลรักษา
1. ไม่ติดตั้งอุปกรณ์อื่นๆ อันจะเป็นการเพิ่มภาระให้รถ
เช่น เพิ่มขนาดหลอดไฟหน้า เช่นมาตราฐานโรงงาน หลอดไฟขนาด35/60 เปลี่ยนเป็น55/60 โดยไม่ติดตั้งรีเลยเพิ่ม ปัญหาจากกรณีนี้ จะทำให้รถเกิดอาการไฟอ่อนบ่อยๆ แม้จะวิ่งในรอบที่สูง
2. หลีกเลี่ยงไม่ให้โดนน้ำ ล้างรถต้องเป่าให้แห้งสนิท
3. ทาจารบีตามจุดต่อของสายไฟเช่นปลั๊กต่างๆ ขั่วแบ็ตเตอรี่
4. ปลั๊กที่หลวมให้เปลี่ยนใหม่

ที่มา ( นิตยสารมอเตอร์ไซเคิล ปีพ.ศ.2539)
* เป็นบทความเก่าๆที่รวบรวมไว้ และเก็บรักษาไว้นานแล้ว ปัจจุบันหาอ่านได้ยาก บทความอาจจะมีประโยชน์กับเพื่อนๆบ้างไม่มากก็น้อย จึงดัดแปลงถ้อยคำ แต่งเสริมให้กระชับ อ่านแล้วเข้าใจได้ง่ายขึ้น จึงต้องขออภัยเจ้าของต้นฉบับคุณเกียร์7 มาณ.ที่นี้ด้วย

Credit : คุณpum118 จาก 118bike

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น